#ประโยชน์ของน้ำมันปลาโดยรวม
1. ช่วยบำรุงประสาทและสมอง
ช่วยเพิ่มความจำและความสามารถในการเรียนรู้
2. ช่วยบรรเทาอาการอักเสบ ปวด
บวมของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
3.
ช่วยป้องกันการเกิดภาวะสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุ
4.
ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ที่เป็นอันตราย
5. ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจเฉียบพลัน
6. ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดเส้นเลือดในสมองแตก
7. ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแดงแข็งตัว
8.
ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดในกระแสเลือด
9. ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งเต้านม
10. บรรเทาอาการคันและแห้งของโรคสะเก็ดเงิน
11. บรรเทาอาการอักเสบ ปวด
บวมของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
12.
ช่วยป้องกันการเกิดภาวะสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุ
13. ช่วยบำรุงสุขภาพผิว เส้นผม
และเล็บให้มีสุขภาพดี
โอเมก้า 3
กรดไขมันพิเศษในน้ำมันปลาที่จำเป็นต่อร่างกาย
เป็นกลุ่มของกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ซึ่งจำเป็นต่อระบบการทำงานต่างๆ
ภายในร่างกาย ประกอบด้วย กรดไขมัน EPA และกรดไขมัน DHA ซึ่ง EPA จะช่วยลดระดับไตรีกลีเซอไรด์ในเลือด
และ DHA ช่วยการทำงานของระบบประสาท สมองและสายตา
ร่างกายคนเราไม่สามารถสร้างโอเมก้า 3 เองได้
จึงจำเป็นต้องได้รับสารอาหารเท่านั้น การได้กินอาหารจำพวกที่มีโอเมก้า 3
อย่างปลาทะเล จำพวกปลาแซลมอน ปลาแมคคาเรล
ปลาซาร์ดีนในปริมาณที่เพียงพอต่อวันจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
น้ำมันปลาเหมาะกับทุกวัย ตั้งแต่เด็ก วัยเรียน
วัยทำงาน จนถึงผู้สูงอายุ แต่ควรเลือกกินในปริมาณที่เหมาะสม
จะช่วยให้น้ำมันปลาเข้าไปเสริมสร้างคุณประโยชน์ต่างๆ
ของร่างกายและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ดี
สำหรับวัยเด็ก
เนื่องจากเป็นวัยที่ร่างกายและสมองกำลังเติบโต
การกินน้ำมันปลาจึงเป็นตัวช่วยอย่างดี เพราะดีเอชเอ และโอเมก้า 3
เป็นสารอาหารที่จำเป็นในการเสริมสร้างเซลล์สมอง บำรุงระบบประสาท และสายตา
เด็กๆที่ได้รับ DHA สูงกว่าเด็กวัยเดียวกัน จะเรียนรู้เร็ว มีสมาธิสูง
จดจ่อต่อสิ่งที่สนใจได้นาน สามารถจดจำรายละเอียดต่างๆ ได้มากขึ้น
ทั้งยังมีความฉลาดทางอารมณ์ ควบคุมการแสดงออกทางความรู้สึกได้ดี
ส่วนวัยผู้ใหญ่ เป็นวัยที่จะเจอโรคต่างๆ
มารุมเร้าอยู่เสมอ
การกินน้ำมันปลาก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้อย่างดี
โดยเฉพาะหัวใจและหลอดเลือด เพราะน้ำมันปลามีค่า EPA ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในการลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
เสริมการทำงานของไนตริกออกไซด์ ลดการจับตัวกันของเกล็ดเลือดได้ดี
และอีกหลายประโยชน์ที่สำคัญต่อระบบการหมุนเวียนโลหิต อีพีเอ (EPA) จากโอเมก้า 3 (Omega 3)
ยังช่วยลดการอักเสบที่เกิดจากสารอักเสบในร่างกาย
ซึ่งจะพบมากในผู้ป่วยที่เป็นโรครูมาตอยด์
วิธีรับประทาน ครั้งละ 1-2 แคปซูล
หลังอาหารเช้า-เย็น
น้ำมันปลา (ขนาด 500 มก. บรรจุ 50 แคปซูล) ราคา 200 บาท
น้ำมันปลา (ขนาด 500 มก. บรรจุ 90 แคปซูล) ราคา 320 บาท
น้ำมันปลา (ขนาด 1,000 มก. บรรจุ 50 แคปซูล) ราคา 350 บาท
น้ำมันปลา (ขนาด 1,000 มก. บรรจุ 90 แคปซูล) ราคา 540 บาท
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ ดีเอชเอและการทำงานของสมอง
น้ำมันปลาประกอบด้วยกรดไขมันจำเป็นประเภทโอเมก้า 3 อยู่ในปริมาณสูง
ซึ่งในกลุ่มของโอเมก้า 3 นั้น มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว 2
ชนิดที่สำคัญได้แก่ 1. กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก
หรือ DHA
2. กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก หรือ EPA
แหล่งของ DHA และ EPA ในธรรมชาติพบมากในปลาทะเล
และสาหร่าย โดย EPA จะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน
โรคหลอดเลือดหัวใจ ช่วยลดระดับของไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด (อ้างอิงที่ 1) ขณะที่ DHA มีความสำคัญต่อการทำงานของสมอง
เพราะเป็นโครงสร้างพื้นฐานของเซลล์สมอง
DHA ในน้ำมันปลามีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงตั้งแต่แรกเกิดที่ต้องการ
DHA ในปริมาณมากและเพียงพอ
เพื่อใช้ในการพัฒนาสมองได้อย่างเต็มที่ในวัยผู้ใหญ่
DHA จะผ่านเข้าไปในสมองและเสริมสร้างการเจริญเติบโตของปลายประสาทที่เรียกว่า
เดนไดรต์ (dendrite) ซึ่งจะทำหน้าที่ถ่ายทอดสัญญาณและส่งผ่านข้อมูลระหว่างเซลล์สมองด้วยกัน
ทำให้เกิดการเรียนรู้และการจดจำ
นอกจากนี้ DHA ยังมีความสำคัญต่อระบบประสาทตาและระบบการทำงานของสายตาอีกด้วย
DHA ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคความจำเสื่อม ชนิดที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ โรคอัลไซเมอร์ ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อยในกลุ่มโรคความจำเสื่อม
โดยจะมีการเสื่อมของเซลล์สมองในส่วนที่ควบคุมการเรียนรู้และความจำ
โรคนี้ส่วนใหญ่พบในผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป
และอัตราความเสี่ยงของโรคจะเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยด้วยโรคความผิดปกติของหลอดเลือด ได้แก่
โรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง
ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญที่อาจเกิดเซลล์สมองฝ่อเร็วกว่าคนทั่วไป
โรคอัลไซเมอร์ จะส่งผลให้เกิดความจำเสื่อม
การทำงานประสานของร่างกายลดลง พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง หลงลืม สับสน
และไม่สามารถปฏิบัติงานที่เคยทำปกติได้ การมีเหตุผลจะลดลง
ที่สำคัญคือเมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่สามารถรักษาให้หายได้
ปัจจุบันมีผู้ป่วยด้วยโรคนี้ทั่วโลกประมาณ 33.9 ล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 3 เท่าในอีก 40 ปีข้างหน้า
สำหรับในประเทศไทยซึ่งมีผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปทั้งหมดประมาณ
8.3 ล้านคน
คาดว่าจะมีผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ประมาณ 8.3 แสนคน
และคาดการณ์ได้ว่าโรคอัลไซเมอร์จะเป็นปัญหาทางสาธรณสุขที่รุนแรงขึ้นในอนาคต
ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อผู้เป็นโรคเท่านั้น
ยังส่งผลกระทบต่อคนในครอบครัวอีกด้วย ดังนั้น
โรคอัลไซเมอร์จึงเป็นโรคที่น่ากังวลในปัจจุบันและอนาคตเป็นอย่างมาก
หนึ่งในสาเหตุของการเกิดโรคอัลไซเมอร์คือ การสะสมของ อะไมลอยด์
เบต้า (Amyloid Beta) จนกลายเป็น อะไมลอยด์ พล๊าค (Amyloid Plaques) ซึ่งมีความเป็นพิษต่อเซลล์ประสาท
โดยจะทำลายสมดุลไอออน ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ
ทำลายโครงสร้างของเยื่อหุ้มเซลล์ที่มีไขมันและโปรตีนเป็นส่วนประกอบ
และทำให้เกิดการกระตุ้นเซลล์ Microglia ซึ่งเมื่อ Microglia
ถูกกระตุ้นจะทำให้เกิดการหลั่งสารที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบที่เป็นพิษต่อ
ระบบประสาท ซึ่งเป็นสาเหตุให้เซลล์สมองถูกทำลาย